ตัวอย่างการบรรยาย
บรรยายประวัติย่อๆ
"........Ladies and gentlemen , welcome to one of the most famous temples in Bangkok.
ขอต้อนรับท่านสุภาพสตรีและบุรุษทั้งหลายสู่วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดวัดหนึ่งในกรุงเทพฯค่ะ/ครับ
It is the Temple of Marble or the Marble Temple. วัดแห่งหินอ่อนหรือวัดหินอ่อนนั่นเอง
It is officially named Wat Benchamabophit Dusitwanaram.
เรียกชื่อเป็นทางการว่าวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
This means the temple,located in a forestry area in Dusit Palace precinct, is in honour of King Ram V or King Chulalongkorn.
อันหมายถึงว่าวัดนี้ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าที่อยู่ในขอบเขตแห่งพระราชวังดุสิต เป็นเกียรติแก่รัชกาลที่๕หรือพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(precinct ขอบเขต , in honour of/ in honor of เป็นเกียรติแก่..................... )
During that time ,in 1900s, the surroundings were forestry. ในช่วงเวลานั้นคือช่วงทศวรรษแห่ง ค.ศ.1900 บริเวณรอบๆยังเป็นป่าอยู่
This temple is regarded as the temple of Dusit Palace. วัดนี้ถือเป็นวัดประจำพระราชวังดุสิต.........."
"......This temple is called in tourism as the Marble Temple because it is beautifully decorated with the best marble in the world from Carrara, Italy.
วัดนี้เรียกกันในเชิงการท่องเที่ยวว่าวัดหินอ่อน เพราะว่าประดับประดาอย่างงดงามด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดในโลกจากเมืองคาราร่า ประเทศอิตาลี
It is probably misunderstood as the marble temple that is totally(หรือ entirely) made of marble.
บางทีอาจเป็นที่เข้าใจผิดกันว่าเป็นวัดที่ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลัง
Actually,it is made of bricks and covered with marble that is about 3 centimetres thick.
ที่จริงแล้วทำด้วยอิฐปิดด้วยหินอ่อนหนาประมาณ๓เซนติเมตร
The temple is about 110 years old but still looks new because of the continual restoration and renovation.
วัดนี้อายุประมาณ๑๑๐ปีแล้ว แต่ยังดูใหม่ เพราะการบูรณะและปฎิสังขรณ์กันอย่างต่อเนื่อง........."
(continual หมายถึง ต่อเนื่องโดยมีการเว้นระยะ ส่วน continuousหมายถึงต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหรือเว้นระยะ)
"...........The temple was established in the reign of King Ram V or King Chulalongkorn in 1899 or 112 years ago, on the site of an old temple available before his reign.
วัดนี้สถาปนาขึ้นในรัชกาลที่๕ หรือพระจุลจอมเกล้าฯ ในปีค.ศ.๑๘๙๙ หรือ ๑๑๒ปีมาแล้ว บนที่ตั้งของวัดเก่าที่มีมาอยู่ก่อนรัชสมัยพระองค์................."
หมายเหตุ : ก่อนหน้านั้นมีวัดอยู่ก่อนชื่อว่าวัดเบญจบพิตร แปลว่าวัดแห่งเจ้านาย๕พระองค์ แล้วรัชกาลที่๕ได้สถาปนาวัดขึ้นมาใหม่เป็นวัดเบญจมบพิตร ทั้งนี้เพื่อเป็นการผาติกรรม(กระทำการชดเชย)ให้แก่วัดร้างที่ถูกรื้อทิ้งเนื่องจากต้องใช้เป็นส่วนหนึ่งในอาณาบริเวณของพระราชวังดุสิต ตามหลักฐานที่พอจะมี ระบุว่า ต้องรื้อวัดร้างอย่างน้อย๒แห่ง คือวัดดุสิตและวัดไม่ทราบชื่ออีกหนึ่งแห่ง
บรรยายเกี่ยวกับอุโบสถ
".......The principal chapel or ubosoth was firstly built in a temporary style that was made of golden teak wood with thatched roof.
อาคารหลักหรืออุโบสถสร้างครั้งแรกแบบชั่วคราวด้วยไม้สักทองหลังคามุงจาก.
(thatched roof หลังคามุงจาก)
The permanent one as seen nowadays was built in 1901 but it took slightly longer than 10 years to complete.
อาคารถาวรอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ สร้างในปีค.ศ.๑๙๐๑ แต่ใช้เวลา๑๐กว่าปีถึงเสร็จสมบูรณ์
That means it was completed after the demise of King Rama V.
นั่นหมายถึงสร้างเสร็จหลังการสวรรคตของรัชกาลที่๕..........."
The front gable-end of the main chapel หน้าบันด้านหน้าของอุโบสถ
".............The front gable-end of the main chapel is like that of other royal temples in that it shows the figure of Vishnu,the Hindu god mounted on Garuda,the mythical bird หน้าบันด้านหน้าของอุโบสถก็เหมือนกับวัดหลวงอื่นๆตรงที่เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค................"
Who designed it ?ใครออกแบบวัดเบญจ?
".........This temple is mainly designed by the two persons--Prince Narit, the king's half-brother and Mario Tamagno, an Italian architect วัดนี้โดยหลักๆแล้วออกแบบโดยบุคคล๒ท่านคือ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ พระอนุชาต่างพระมารดา และสถาปนิกชาวอิตาลี ชื่อมาริโอ ตามาโย............."
หน้าต่างพระอุโบสถ The window of the main chapel
"............The upper part of the ubosoth windows is also beautifully decorated with the stained-glass made in Florence , Italy but designed by Thai ด้านบนของหน้าต่างก็ประดับอย่างสวยงามด้วยกระจกสีทำที่เมืองฟลอเรซ์ ประเทศอิตาลี แต่ว่าลวดลายออกแบบโดยคนไทย............"
"..........Inside the ubosoth, there is the presiding Buddha image. ภายในอุโบสถมีพระประธานอยู่ It is a gilt alloy of brass , bronze and silver image.ทำด้วยโลหะผสมจาก ทองเหลือง สัมริด และเงิน ปิดทอง
This Buddha image is important in that (1) Its base contains the crematory ashes of King Rama V (2) It is an imitative one of Phra Phutthachinnarat--the Buddha image in Phitsanulok that is one of the most beautiful Buddha images in Thai history.
พระพุทธรูปองค์นี้สำคัญตรงที่ว่า (๑) ฐานของพระเป็นที่เก็บพระสรีรางคารของรัชกาลที่๕ (๒) เป็นพระพุทธรูปเลียนแบบคล้ายกับพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
The gilding work of the presiding Buddha image was originally done in 1909 by the Japanese goldsmith master from Tokyo named Tsura Hara or Sensei Tsuru Hara
งานปิดทองพระพุทธรูปประธานนั้นแต่เดิมทำโดยครูช่างทองชาวญี่ปุ่นจากโตเกียว ชื่อ ทซุรุ ฮารา หรือครูทซุรุ ฮารา.
Then it was regilt in the current king's reign in 1982 by the Department of Fine Arts. แล้วต่อมาก็ปิดทองเสียใหม่ในรัชกาลปัจจุบัน ในปี ค.ศ.๑๙๘๒ โดยกรมศิลปากร.................."
When and where was the presiding Buddha image made? พระประธานทำที่ไหน ทำเมื่อไร?
"...............This presiding Buddha image was cast in Phitsanulok in October 1901 by 240 workers and it was transferred to Bangkok by raft along the Chaaophraya River for 4 days and it was kept in the foundry of Bangkok first. พระประธานองค์นี้หล่อที่พิษณุโลก ในเดือนตุลาคม ค.ศ.๑๙๐๑ ด้วยแรงงาน๒๔๐คน แล้วก็อัญเชิญมากรุงเทพฯ ด้วยแพมาทางแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเวลา๔วัน แล้วก็มาเก็บไว้ที่โรงหล่อกรุงเทพฯก่อน
On December 13th 1901 ,it was transferred to this temple along the canals--Samsen and Premprachakorn.วันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๐๑ ก็อัญเชิญมาไว้ที่วัดนี้ โดยมาทางคลองสามเสนและคลองเปรมประชากร
From the canal over there (Khlong Premprachakorn), it took 5 and a half hours by using sledge to transfer it into the inner side of the ubosoth.
จากคลองทางโน้น(คลองเปรมประชากร) ใช้เวลา๕ชั่วโมงครึ่งในการอัญเชิญพระพุทธรูปมาสู่ส่วนในของโบสถ์โดยอาศัยตะเฆ่(ล้อเลื่อน)
บรรยายเรื่องศาลา๒หลังที่อยู่หน้าพระอุโบสถ
(ด้านหน้าพระอุโบสถ มีศาลา๒หลัง ซึ่งรูปทรงและขนาดเท่ากัน เมื่อยืนหันหน้าเข้าหาอุโบสถ จะพบศาลาที่ใช้เป็นที่จำหน่ายค่าเข้าชมแก่นักท่องเที่ยวอยู่ทางด้านขวามือของเรา ศาลานี้ชื่อ ศาลาใย-ระเบียบ ส่วนศาลาที่อยู่ทางด้านซ้ายของเรา ใช้เป็นที่จำหน่ายเครื่องดื่มและของกินอื่นๆ ศาลานี้ชื่อ ศาลาหม่อมเฉื่อย)
ศาลาหม่อมเฉื่อย(หน้าบันด้านที่มีรูปพระพายทรงม้า)
หน้าบันศาลาใยระเบียบ(ด้านที่มีรูปคนทอผ้าเป็นใยๆ)
หน้าบันศาลาใยระเบียบ(ด้านที่มีรูปพวงมาลัยที่ร้อยเป็นระเบียบ)
การอธิบายเกี่ยวกับศาลาหม่อมเฉื่อย
"ศาลานี้ชื่อว่าศาลาหม่อมเฉื่อย สร้างในปีพ.ศ.๒๔๔๗(ค.ศ.1904) การก่อสร้าง รับเป็นเจ้าภาพ(สนับสนุนทางการเงิน)โดยกรมพระยาดำรงราชนุภาพ เพื่ออุทิศให้หม่อมเฉื่อย หม่อมในพระองค์(กรมพระยาดำรงฯ) This pavilion is named Momchuei Pavilion.It was built in 1904. Its construction was subsidized by Prince Damrong to dedicate to Momchuei ,his own wife. ปัจจุบันใช้เป็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มและของกินอื่นๆ Nowadays it is used as a refreshment shop." A gable shows the figure of Vayu ,the god of wind mounted on a horse. หน้าบันด้านหนึ่งแสดงรูปพระพายทรงม้า"
หมายเหตุ ที่หน้าบันเป็นรูปพระพายทรงม้าก็เพื่อให้สอดคล้องกับความหมายว่า"เฉื่อย" เพราะ "เฉื่อย" มีความหมายถึงพระพาย ดังคำพูดว่า "ลมพัดเฉื่อยๆ"
การอธิบายเกี่ยวกับศาลาใยระเบียบ
"ศาลานี้เรียกว่า ศาลาใย-ระเบียบ สร้างในปีเดียวกับศาลาหม่อมเฉื่อย การก่อสร้างใช้เวลา๑ปี This pavilion is called Yai-Rabieb Pavilion . It was built in the same year of Momchoei pavilion .The construction lasted 1 year. การก่อสร้างรับเป็นเจ้าภาพโดยฆราวาสผู้หญิง(อุบาสิกา)ชื่อระเบียบ เพื่ออุทิศให้ นางใยผู้เป็นแม่ และนางระเบียบคือตนเอง The construction was subsidized by a laywoman named Rabieb to dedicate to Yai her monther and Rabieb hereself ปัจจุบันใช้เป็นที่จำหน่ายตั๋วค่าเข้าชม สำหรับชาวต่างชาติ Nowadays , it is used as an admission ticket office for foreigners."
พระที่นั่งทรงธรรม พระที่นั่งทรงผนวช และศาลาสี่สมเด็จ
(เมื่อยืนหันหน้าเข้าหาพระอุโบสถ จะสังเกตุเห็นว่าทางด้านซ้ายมีคลองกั้นวัดเป็น๒ส่วนคือพุทธาวาส คือบริเวณที่เราเข้ามายืน และสังฆาวาส คือบริเวณอีกฝั่งหนึ่งของคลอง และในบริเวณสังฆาวาสจะมีอาคารที่เห็นเด่นอยู่ ๓ หลัง หลังหนึ่งเป็นศาลา อีก๒หลังรูปทรงคล้ายกันคือ เป็นอาคาร๒ชั้น เมื่อเราลองหันหน้าเข้าหาคลองแทน(ก็คือซ้ายหัน) จะเห็นศาลาอยู่ขวาสุด เรียกชื่อว่าศาลา๔สมเด็จ ถัดมาทางซ้าย(อาคาร๒ชั้นหลังกลาง) คือพระที่นั่งทรงผนวช และอาคารลำดับสุดท้ายอยู่ซ้ายสุด ก็คืออยู่ใกล้ๆกับรั้วเหล็กของวัด ชื่อว่า พระที่นั่งทรงธรรม อาคารทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัชกาลที่๕ทั้งสิ้น)
พระที่นั่งทรงธรรม
อาคารนี้ชื่อว่าพระที่นั่งทรงธรรม This building is named Songtham Hall (หรือ Prathinagsongtham) ในอดีตใช้เป็นที่ทรงธรรม(ฟังธรรมหรือปฏิบัติธรรม) สำหรับรัชกาลที่๕เมื่อเสด็จมาทรงธรรมที่วัดนี้ In the past , it was used as a place for King Rama V to observe religious affairs (to listen to a sermon or to do meditation) when he came to do such the deeds in this temple. ปัจจุบันใช้เป็นอาคารบำเพ็ญกุศลในงานศพสำหรับบุคคลสำคัญ เช่นอดีตนายกรัฐมนตรี และเจ้านายบางพระองค์ Nowadays it is used as a lying-in-state hall (หรือ funeral hall) for very important persons such as the former prime ministers and some royal family members. การก่อสร้างรับเป็นเจ้าภาพโดย พระนางเจ้าสว่างวัฒนา หรือสมเด็จย่าในรัชกาลปัจจุบัน The construction was subsidized by Queen Sawang Wattana or the current king's grandmother.
พระที่นั่งทรงผนวช
อาคารนี้เรียกว่าพระที่นั่งทรงผนวช This building is called Songphanuad Hall (หรือ Phrathinanagsongphanuad) เคยอยู่ในวัดในส่วนในของพระบรมมหาราชวังที่เรียกว่าพุทธรัตนสถาน It used to be in the inner court of the royal grand palace that is called Phuttarattanasathan. เคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่๕ขณะที่พระองค์ผนวชเป็นพระภิกษุ It used to be a residence of King Rama V while he was still a monk(หรือ while he was still in priesthood) ต่อมาย้ายมา(ถูกย้ายมา)เพื่อเป็นกุฎิเจ้าอาวาสที่ีวัดนี้ Later, it was moved to be a residence of the temple abbot. ปัจจุบันไม่ได้ใช้เป็นกุฏิเจ้าอาวาสอีกแล้ว Nowadays, it is not used as the residence of the temple abbot any more.(หรือ it is no longer used as the residence of the temple abbot.) ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับเก็บของใช้ต่างๆในรัชกาลที่๕ It is used as a museum for keeping King Rama V's amenities (หรือ personal effects).
พระที่นั่งทรงผนวช
พระที่นั่งทรงผนวช(ซ้าย) และศาลา๔สมเด็จ(ขวา)
ศาลาสี่สมเด็จ
ศาลานี้ชื่อว่าศาลา๔สมเด็จ This pavilion is named Sisomdet Pavilion. หมายถึงศาลาที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จ(พระบรมวงศนุวงศ์ชั้นสูง)๔องค์ It means the pavilion that is related to 4 high rank royal family members. การสร้างรับเป็นเจ้าภาพในนามบุคคล๔ท่าน(สมเด็จ๔องค์)ที่เป็นพีน้องร่วมพระชนกชนนีเดียวกัน ได้แก่ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่๕) เจ้าฟ้าจัทรมณฑล เจ้าฟ้าจักรพรรดิพงศ์ และเจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ Its construction was subsidized on behalf of the 4 persons who were full brothers and sister namely Chulalongkorn the king, Chathadaramonthon the Princess, Chakkphatdiphong the Prince and Phanurangsisawangwong the Prince.
ศาลา๔สมเด็จ
กลองยาวภายในศาลาสี่สมเด็จ
หน้าบันศาลา๔สมเด็จ(ด้านที่เป็นตราพระราชลัญจกรในเจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑล)
ตราเป็นรูปดวงจันทร์
หน้าบันศาลา๔สมเด็จ (ด้านที่เป็นตราพระราชลัญจกรในเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ หรือรัชกาลที่๕)
ตราเป็นรูปพระเกี้ยว หรือจุลจอมเกล้า คือมงกุฎขนาดเล็ก
หน้าบันศาลา๔สมเด็จ(ด้านที่เป็นตราพระราชลัญจกรในเจ้าฟ้าจักรพรรดิพงศ์)
ตราเป็นรูปจักร
หน้าบันศาลา๔สมเด็จ(ด้านที่เป็นตราพระราชลัญจกรในเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์)
ตราเป็นรูปดวงอาทิตย์
กลองยาวในศาลา๔สมเด็จ
กลองนี้เป็นกลองโบราณ ยาว๕.๓๒เมตร ทำด้วยไม้ประดู่ The drum is an ancient one ,5.32 meters long ,made of Burmese ebony wood. เคยเป็นกลองสงครามของกองทัพกบฎ คือ เงี้ยว ในปีค.ศ.๑๙๐๓ It used to be a war drum of the rebellious troops--Ngiew in 1903. กลองถูกยึดมาได้หลังจากพวกกบฎถูกรัฐบาลปราบในตอนนั้น และก็รัชกาลที่๕ให้นำมาไว้ที่วัด The drum was occupied after they were defeated by the government then and King Rama V had it brought to keep(หรือ to be kept) in this temple.
สะพานพระรูป สะพานถ้วย สะพานงา
สะพานพระรูป
สะพานชื่อสะพานพระรูป เงินสนับสนุนการก่อสร้างมาจากรายได้มในการขายเหรียญในงานวัด The bridge is named the Monarch Figure Bridge. The subsidy for the construction was from sale of coins in the design of the king's figure in a temple fair.
สะพานพระรูป
สะพานถ้วย
สะพานนี้ชื่อว่าสะพานถ้วย เงินสนับสนุนการก่อสร้างมาจากการขายถ้วยที่รัชกาลที่๕บริจาคให้ในงานวัด
The bridge is named The Cup Bridge. The subsidy for the construction was from the sale of cups that the king gave away for the temple fair.
สะพานงา
สะพานนี้ชื่อว่าสะพานงา เงินสนับสนุนการก่อสร้างมาจากการขายงาช้างในงานวัด
The bridge is named Ivory Bridge. The subsidy for the construction is from the sale of ivories in a temple fair.
ตัวอย่างประโยคที่น่าสนใจ
๑. วัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่๕ พระอัยกา(เสด็จปู่)ในรัชกาลปัจจุบัน ในปี ค.ศ.๑๙๐๐ หรือประมาณ๑๑๔ปีมาแล้ว โดยการใช้หินอ่อนที่ดีที่สุดจากเมืองคาราร่า ประเทศอิตาลี This temple was built in the reign of King Rama V,the grandfather of the current king in 1900 or 114 years ago by using the the best marble from Carrara ,Italy. ดังนั้นวัดนี้จึงเป็นที่รู้จักกันดีว่าวัดหินอ่อน So the temple is well-known as The Temple of Marble.
๒. การก่อสร้างกินเวลากว่า๑๐ปี รัชกาลที่๕สรรคตก่อนการก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์ พระราชโอรสของพระองค์คือรัชกาลที่๖ พระปิตุลา(ลุง)ในรัชกาลปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างต่อจึงเสร็จสมบูรณ์ The construction lasted longer than 10 years. King Rama V passed away before the construction was complete. His son,King Rama VI-- the uncle of the current king ,continued the construction to complete.
๓. พระอุโบสถทำด้วยอิฐ(ซึ่ง)ประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี The main chapel is made of bricks decorated with the best marble from Italy. ออกแบบโดยกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ พระอนุชาในรัชกาลที่๕ พร้อมด้วยชาวอิตาลีอื่นๆ เช่น มิสเตอร์ มาริโอตามาโย โดยการจ้างแรงงานชาวจีนมาร่วม
It is designed (หรือ It was designed) by Prince Narit ,a brother of King Rama V together with other Italian such as Mr.Mario Tamago by employing the Chinese laborers to take part.( หรือ to join with)
๔. พระระเบียงของอุโบสถสร้างเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป The gallery of the main chapel is built to be a museum of Buddha image ดังนั้นเราไม่ต้องถอดรองเท้าเดินชม So we need not (don't have to)take shoes off to walk to see. รัชกาลที่๕ให้สร้างเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาพระพุทธรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบไทยและต่างประเทศ เช่นแบบอินเดีย พม่า กรีก และญี่ปุ่น King Rama V had it built to have the public learn different styles of Buddha image both Thai and foreign ones such as the Indian ,Burmese , Greek and Japanese. บางองค์เป็นของจริงมาจากที่ต่างๆ Some of them are the real (original) ones from places. บางองค์เป็นของเลียนแบบหรือถ่ายแบบมา Some of them are imitation or duplicated ones.
คำถามท้ายเรื่อง
๑. เป็นที่ถกเถียงกันหลายฝ่ายว่า วัดเบญจฯเป็นวัดประจำรัชกาลที่๕หรือไม่กันแน่ เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร?
แนวการตอบ
ตามรับสั่งในรัชกาลที่๕มีพระราชประสงค์ให้นำพระสรีรางคาร(เถ้ากระดูก)ของพระองค์แบ่งไปประดิษฐานไว้ในวัด๒แห่งคือวัดราชบพิธ และวัดเบญจมบพิตร โดยวัดราชบพิธเป็นวัดประจำรัชกาล ในขณะที่วัดเบญจมบพิตรเป็นวัดแห่งรัชกาลที่๕ หมายถึงวัดที่รัชกาลที่๕ทรงออกทุนทรัพย์สร้างด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้ชื่อเต็มของวัดคือ วัดเบญจมพบิตรดุสิตวนาราม ระบุความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า เป็นวัดแห่งรัชกาลที่๕ซึ่งสร้างให้เป็นวัดประจำพระราชวังดุสิตและยังเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตป่า(สมัยนั้นยังเป็นป่า) เราจะเห็นความคิดการสร้างวัดให้คู่กับวังอยู่หรือวัดประจำวังหลายแห่ง เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีสรรเพชญ์เป็นวัดประจำพระราชวังแห่งกรุงศรีอยุธยา
No comments:
Post a Comment