Sunday 7 December 2014

บรรยายนำชมวัดโพ Narration of Wat Pho

Wat Pho ,the Temple of  the Reclining Buddha

General  information to know  ข้อมูลทั่วไปที่ควรทราบ

(1) Original name in the former time ชิ่อดั้งเดิมในมัยก่อน : Wat Photharam  วัดโพธาราม
(2) Common name ชื่อสามัญ  :   Wat Pho/Wat Po  วัดโพ
(3) Official name  ชื่อทางการ :   Wat Phrachetuphon Wimonmangkhalaram       Ratchaworamahawihan      วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร                                                                          
(4) Tourism name ชื่อทางการท่องเที่ยว  
The Reclining Buddha Temple /The Temple  of  The Reclining Buddha     
 วัดพระพุทธไสยาสน์/วัดพระนอน                              
(หรือจะใช้ว่า touristy name   หรือ touristic  ก็ได้   ส่วนที่พูดกันว่า  touristic name นั้นเป็นคำพูดตามกระแส ครูเจ้าของภาษาคนหนึ่งยังบอกว่าไม่เข้าใจเหมือนกัน ก็ในเมื่อมันมี touristy  แล้วทำไมต้องสร้างคำ touristic มาเพิ่มอีก  ในขณะที่ครูเจ้าของภาษาอีกคนว่า touristy ฟังดูไปทางลบหน่อย หมายถึงมีนักท่องเที่ยวเยอะวุ่นวายแออัด โดยความเห็นผู้เขียนคิดว่า เป็นเพราะภาษาไม่เคยหยุดนิ่ง คนแต่ละยุคต่างก็สร้างคำขึ้นมาใหม่ๆ คำบางคำมีอยู่แล้วก็ไม่ใช้  สุดท้ายคำมากมายก็เหมือนคำที่ตายไปแล้ว   ตัวอย่างเช่น  คำว่า  ของที่ระลึก ปัจจุบันใช้กันแต่คำว่า souvenir ส่วนคำว่า memento แทบจะไม่เคยได้ยินใครใช้เลย   ที่ผ่านมาเคยพบคนใช้คำว่า memento อยู่ครั้งเดียว   หรืออีกกรณีคือคำว่า  ไม่เป็นไร แต่เดิมมีใช้แต่คำว่า  alright   แต่พอมีการตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา  มีคนหลายเขื้อชาติเข้าไปอยู่อาศัย  มีนายจ้างรายหนึ่ง แกเป็นคนเยอรมัน พูดภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง  แกใช้คำว่า ตกลง  ว่า  OK  แล้วมีใช้ตามกันมาจนปัจจุบันระบาดใช้กันไปทั่วโลก เหมือน COVID-19 
เท่าที่ผู้เขียนค้นมา ในตำราการใช้คำของต่างประเทศปรากฏว่า ใช้ได้ทั้ง touristy และ touristic  ดังนั้นขอให้เลือกใช้เองตามถนัด ถ้าเอาตามความหมายแฝง touristy ก็จะไปทางบอกให้ทราบถึงความเป็นที่นิยมมากจนคนมาเที่ยวกันล้นหลาม ทำให้บางคนอาจจะไม่ชอบจึงรู้สึกไปทางลบ  อย่างเช่น มีอยู่ปีหนึ่ง วันที่1มกราคม ผู้เขียนได้พาชาวต่างชาติไปวัดโพ ไม่ได้รู้สึกอยากเข้าเลย วุ่นวายไปหมด ต้องเข้าแถวยาวเป็นร้อยเมตร บางคนก็เปลี่ยนใจไม่อยากเข้า แต่ซื้อตั๋วแล้วก็เสียดาย  สักพักก็มีเจ้าหน้าที่ของวัดประกาศมาด้วยความดีใจว่า เมื่อวันที่31ธันวา มีนักท่องเที่ยวเข้าในวันเดียวถึง 1ล้านคน 
แบบนี้ต้องใช้  It  is/was bloody touristy.คนมาเที่ยวเยอะเป็นบ้า  แต่ถ้าเป็นภาษาพูดที่คนรุ่นปัจจุบันพูดกันก็คือ "คนเที่ยวเยอะอุบาทว์"  แม้ฟังดูหยาบคายแต่นี่คือข้อเท็จจริงที่ปัจจุบันนี้ ในภาษาไทยนำคำว่า "อุบาทว์" มาใช้เพื่อให้รู้สึกแรง  เช่น It is bloody expensive.แพงอุบาทว์   It is bloody spicyเผ็ดอุบาทว์ ซึ่งอันที่จริง bloodyไม่ใช่คำหยาบ แต่มีการนำมาใช้กันแพร่หลายในภาษาพูดเพื่อให้ความหมายแรงๆ เมื่อมาแปลเป็นไทยจะได้คำหลากหลาย แล้วแต่บริบท เช่น The dish is bloody cheap.อาหารจานนี้ถูกเป็นบ้า หรือ อาหารจานนี้โคตรถูก)


(5) Regarding the official name : Wat Phrachetuphon Wimonmangkalaram  
เกี่ยวกับชื่อทางการ : วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
This name is given by the king (Rama IV) as the honorable name ชื่อนี้พระมหากษัตริย์(รัชกาลที่๔)พระราชทานให้เป็นเกียรติ    The meaning has its own long detail as follows: ความหมายมีรายละเอียดที่ยืดยาวในตัวมันเองดังนี้
 Wat Phrachetuphon Wimonmangkalaram
 Wat + Phrachetuphon +Wimon+Mangkhla+Aram 
Wat  means temple  or a Buddhist sanctuary  วัดหมายถึงวัด หรือศาสนสถานในศาสนาพุทธ (พุทธสถาน)
Phrachetuphon is the name borrowed  from the original  one-- the forestry monastery in India where Kotama  Buddha resided , longer than any other place, for 18 years. 
พระเชตุพนเป็นชื่อที่ยืมมาจากของชื่อเดิมที่เป็นวัดป่าในอินเดียอันเป็นที่พระโคตมะพุทธเจ้าประทับอยู่นานกว่าที่อื่นใด เป็นเวลา๑๘พรรษา   This name is regarded as a significant one. ชื่อนี้ถิอว่าสำคัญยิ่ง Then it is borrowed and  used in places. จึงถูกยืมและนำมาใช้ในที่ต่างๆ  
Wimon means a state of  purification without stigma  (or  immaculacy or  immaculateness) วิมลหมายถึงสถานะแห่งความบริสุทธิ์อันปราศจากมลทิน
Mangkhala  means benedictory or  a benediction  มงคลหมายถึง มงคล สิ่งอันประเสริฐ นำเรื่องดีๆมาให้
Aram means a Buddhist monastery อารามหมายถึงวัดในศาสนาพุทธ
(6) Fully official name (ชื่อเต็มเป็นทางการ) : Wat Phrachetuphon  Wimonmangkalaram  Ratchaworamahawihan
Ratchaworamahawihan menas  the great Buddhist temple under the royal patronage  ราชวรมหาวิหารหมายถึง วัดอันยิ่งใหญ่ในพระบรมราชูปภัมภ์
(7) Timeline of  name 
Ayutthaya peirod  :   Wat Photharam  or  Wat Pho by local
Thonburi period    :   Wat Photharam  or  Wat Pho by local
King Rama I peroid : Wat Phrachetuphon Wimonmngkhalawas  or  Wat Pho by local
King Rama IV period :Wat Phrachetuphon Wimonmngkhalaram  or  Wat Pho by local
Nowadays : Wat Phrachetuphon  (in short)  or  Wat Phrachetuphon Wimonmngkhalaram  Ratchaworamahawihan  by  authority or  Wat Pho by local or the Reclining Buddha Temple by tourist

หน้าวัดโพอยู่ไหน?
วัดโพยุคปัจจุบันมีประตูทางเข้า๑๖ประตู ดังนั้นการจะหาว่าหน้าวัดอยู่ไหนคงไม่สำคัญ ถ้าประตูไหนเปิดก็เข้าได้ทั้งนั้น    แต่ถ้าจะหาคำตอบว่าหน้าวัดอยู่ไหน ก็ต้องว่าตามนี้คือ
คำถามนี้มี๒คำตอบ เพราะแหล่งข้อมูลไม่ตรงกัน  ต้องเลือกกันเองว่าจะพอใจคำตอบใด

คำตอบที่๑  ด้านหน้าวัดโพหันไปทางทิศตะวันออก  ดังนั้นประตูด้านหน้าวัดโพจะอยู่ตรงข้ามกองบัญชาการรักษาดินแดน (แต่เดิมเป็นสวน เรียกว่าสวนเจ้าเชตุ)   คำตอบนี้ได้มาจากพระวัดโพ  และในหนังสือ "สามเดือนในเชตวัน" โดยพระนวกะ ปี ๒๕๒๑ ระบุว่า "..........เดิมเป็นวัดราษฎร์ชื่อวัดโพธาราม สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา.................หลังวัดลงแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดอยู่ทิศตะวันออก มีป่าช้าอยู่ต่อหน้าวัดขึ้นมาเป็นสวนเจ้าเชตุ ......."   ถ้าเชื่อตามคำตอบนี้ก็หมายความว่าจะเข้าหน้าวัดก็ต้องเดินผ่านป่าช้าเข้ามาก่อน ชึ่งฟังดูน่ากลัว อีกทั้งในสมัยก่อน บริเวณนั้นโดยทั่วไปที่ทางเป็นที่ลุ่ม เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นป่า มีสัตว์ร้ายอยู่ทั่วไป  ทั้งจระเข้เอย เสือเอย  และการเดินทางของคนสมัยนั้นใช้เส้นทางน้ำเป็นหลัก มีคลองเล็กคลองน้อยเชื่อมโยงไปถึงแม่น้ำ แล้วจะสะดวกอย่างไรที่จะต้องเดินลุยป่าช้าเข้ามา
คำตอบที่๒  ด้านหน้าวัดโพหันไปทางทิศตะวันตก  แม้ว่าจะไม่เหมาะสม แต่มีธรรมเนียมอยู่แต่โบราณว่าให้หน้าวัดหันหน้าเข้าสู่เส้นทางน้ำ แม้ว่าจะไม่ใช่ทิศตะวันออก เนื่องจากวิถีชีวิตแต่ก่อน ใช้เส้นทางน้ำเป็นหลักในการสัญจร  ตามหลักฐานที่มีระบุว่า  ด้านหน้าวัดโพจบแม่น้ำเจ้าพระยา เคยมีศาลาท่าน้ำของวัดโพ  บัดนี้พื้นที่ได้เสียไปเป็นส่วนของตลาดท่าเตียนและเส้นทางสัญจรเดินเท้าและรถยนต์ไปแล้ว  เท่าที่ผู้เขียนสำรวจเปรียบเทียบกับวัดในละแวก ก็มีวัดมหาธาตุ(ชื่อเดิมคือวัดสลัก)ก็เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา  ก็ยังมีป้ายติดอยู่ด้านหันเข้าแม่น้ำว่า "ประตู๑"

ข้อยุติ ในความคิดของผู้เขียนกับคำถามว่า หน้าวัดอยู่ไหน? คือให้ถามผู้ถามก่อนว่าจะพูดถึงช่วงสมัยใด แล้วตรวจดูว่าช่วงสมัยนั้น อาคารหลังใดใช้เป็นโบสถ์ นั่นแสดงว่าพระประธานของวัดอยู่ในนั้น พระประธานจะหันหน้าไปทางหน้าวัด ดังนั้นจะได้คำตอบดังนี้
๑.สมัยแรกเริ่มที่เป็นวัดโพ ไปจนถึงสมัยกรุงธนบุรี  โบสถ์คืออาคารที่ใช้เป็นศาลาการเปรียญในปัจจุบัน พระประธานหันหน้าไปทางแม่น้ำซึ่งเป็นทิศตะวันตก ปัจจุบันพระธานองค์นี้เปลี่ยนสถานะเป็นพระประธานในศาลาการเปรียญ พูดง่ายๆคือเขาให้ท่านปลดเกษียณจากพระประธานวัดเป็นพระประธานศาลาการเปรียญ
๒.สมัยที่รัชกาลที่๑ให้สร้างและขยายวัดโพใหม่ก็คือหลังจากสร้างกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวง กำหนดให้อาคารหลังใหม่ที่ตั้งอยู่ตรงป่าช้าเดิมเป็นโบสถ์และให้นำพระพุทธรูปปางสมาธิจากวัดศาลาสี่หน้า ที่ธนบุรีมาเป็นพระประธานในโบสถ์ แทนที่จะย้ายพระพุทธรูปจากโบสถ์เก่ามา ก็ให้ไว้ที่เดิมอยู่อย่างนั้น
พระประธานองค์นี้เป็นที่พึงพอใจในความงาม พระองค์จึงให้ชื่อว่า พระพุทธเทวปฏิมากร หมายถึง งามดั่งเทวดาสร้าง  
พระประธานหันหน้าไปทางที่เป็นป่าช้าและสวนเจ้าเชตซึ่งอยู่ทิศตะวันออก หน้าวัดจึงอยู่ทิศตะวันออก
๓.สมัยปัจจุบัน ยังคงใช้โบสถ์เดิม พระประธานองค์เดิม ป่าช้าและสวนเจ้าเชตก็ไม่หลงเหลือแล้ว ดังนั้นยังถือว่าวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะยึดพระประธานในโบสถ์เป็นหลักว่าหันหน้าไปทางทิศใดก็ให้ถือว่าหน้าวัดอยู่ทิศนั้น

ต่อไปนี้ไม่ว่าจะไปเที่ยววัดไหน ถ้ามีคำถามว่าหน้าวัดอยู่ไหน  ถ้าไม่รู้ประวัติอะไรเลย ให้เอาปัจจุบันเป็นที่ตั้งแล้วตรวจดูว่าโบสถ์อยู่ไหน พระประธานหันหน้าไปทางไหน ก็จะได้คำตอบเองว่าหน้าวัดอยู่ไหน





No 1   The main chapel/The ordination hall    พระอุโบสถ

No. 2 ,5 ,6 and 7    The symbolic  monuments of the first  four kings of the current dynasty,the Chakri
                               เจดีย์สัญลักษณ์/เจดีย์ประจำ ๔ รัชกาล
No.3  The preaching hall/The teaching hall     ศาลาการเปรียญ

No. 4  The scripture hall    หอไตร

No. 8  The hall of the Reclining Buddha   วิหารพระพุทธไสยาสน์ / วิหารพระนอน

ประวัติอย่างย่อ Brief story
วัดโพอย่างที่เห็นในทุกวันนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในรัชกาลที่๑ ในปีค.ศ.๑๗๙๓ แทนที่วัดเก่าขนาดเล็กที่มีอยู่มาก่อนที่กรุงเทพถูกสถาปนาเป็นเมืองหลวง  Wat Pho as seen nowadays is the temple that was built in the reign of  King Rama I in 1793 to replace a small temple that was available  before Bangkok was established as the capital.         ตามหลักฐานที่มีอยู่ เป็นวัดในสมัยอยุธยา ประมาณรัชสมัยพระนารายณ์หรือก่อนหน้านั้น  According to the available evidence ,it was a temple in Ayutthay period about the reign of King Narai or before       ดังนั้นวัดโพที่พูดถึงจึงมีอยู่อย่างประมาณ๓๒๐-๓๕๐ปีมาแล้ว  So the said Wat Pho was available  about 320- 350 years ago.

หมายเหตุ
(1) ถ้าต้องการนึกภาพว่าขนาดวัดโพสมัยนั้นเป็นอย่างไร  ให้ย้อนไปดูภาพแผนผัง  สังเกตุหมายเลข 3 นั่นคืออุโบสถสมัยนั้น ในปัจจุบันเปลี่ยนสภาพเป็นศาลาการเปรียญไปแล้ว(แปลงสภาพจากอุโบสถมาเป็นศาลาการเปรียญ   ทางวัดให้ใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสถานที่เรียนแก่เด็กๆนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนประถมของวัดด้วย)    บริเวณวัดโพสมัยนั้นจึงอยู่แถวๆนั้นเท่านั้นเอง  ส่วนบริเวณถัดจากนั้นซึ่งครอบคลุมถึงบริเวณหมายเลข 1,2,4,5,6,7 และ 8 ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าช้า ใช้ทั้งฝังศพ และเผาศพ
(2) ถ้าจะว่ากันจริงๆคือ รัชกาลที่๑ให้สร้างวัดโพขึ้นใหม่เป็นขั้นแรกในปี ค.ศ.๑๗๘๙  ก็คือ ระยะเวลาห่างกันประมาณ๔ปีจากที่ระบุในบทบรรยายข้างต้น เพราะเขานับเอาปีที่สร้างโบสถ์เป็นที่ตั้ง  เพื่อให้เห็นภาพได้ชัด ขอลำดับตามนี้
(๑)  ค.ศ.๑๗๘๙  เริ่มให้สร้างวัดโพใหม่  โดยขอแรงงานมาถมถมที่ ประมาณ๒๐,๐๐๐ กว่าคน เพราะที่เป็นที่ลุ่ม
(๒) ช่วง ๑-๒ปี ต่อมา  ดินก็ยุบตัวลงไปอีก  ต้องซื้อดินมาเพิ่ม ถมให้แน่นจนเสมอกัน
(๓) ค.ศ.๑๗๙๓ สร้างพระอุโบสถ


เมื่อวัดโพสร้างใหม่แทนที่วัดโพเก่า  บริเวณวัดก็ถูกขยายออกไปอย่างกว้างขวาง   When  Wat Pho was rebuilt to replace the old  one ,the temple compound was extensively expanded.   อุโบสถหลังใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นบนที่ตั้งซึ่งเคยเป็นป่าช้ามาก่อน The new main chapel was built on the site that used to be a cemetery     อุโบสถหลังเก่าก็กลายเป็นศาลาการเปรียญไป The old main chapel became the preaching hall   ตอนนั้นพระนอน(พระพุทธไสยาสน์)ยังไม่มี   At that  time(หรือ Then) the Reclining Buddha image was not available.   พระนอนถูกสร้างขึ้นมาประมาณ๓๙ปีหลังจากนั้น (นั่นก็คือว่า พระนอนสร้างประมาณ ๓๙ปีหลังจากตั้งกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวง)The Reclining Buddha was built about 39 years after that (The Reclining Buddha image was built about 39 years after the establishment of Bangkok as a capital).   บริเวณวิหารพระนอนในปัจจุบันเคยเป็นวัง The compound of   The Reclining Buddha image hall  at present  used to be a palace.  ต่อมารัชกาลที่๓ได้ทรงยกพื้นที่วังให้แก่วัดและทรงให้พระบรมวงศานุวงศ์ในวังนั้นย้ายไปอยู่ที่วังอื่น  Later King Rama III granted the palace compound  to the temple and he had the royal family members in that palace move to the other palaces.

คำศัพท์
1. grant  (v)  ให้(หมายถึงให้เปล่า ให้เปล่าๆ โดยไม่ขออะไรตอบแทน  หรืออาจจะใช้ในภาษาไทยได้อีกคำว่า "ยกให้"  เช่น เขายกที่ดินแปลงนี้ให้กับสาธารณชน He grants this land plot to the public.)
2. replace  (v)  แทน (หมายถึง "แทนที่"   ไม่สามารถใช้ในความหมายเดียวกับ representได้   ด้วยคำว่า represent หมายถึง "แทน" ในความหมายที่เป็นตัวแทน)


Wat Pho is divided into two sections by a street(road)--the temple compound and the monk's living quarters. 



The original site of  Wat Pho before the reconstruction.  The seen chapel used to be  the main chapel. Nowadays, it is converted to be a preaching hall. And the original Wat Pho area covered the one which is now Thatien market. 


The site of  the chapel of  the Reclining Buddha.  It used to be the site of   Princess  Narinthon's palace. After her demise,  King Rama III had  it dismantled to build the  Reclining Buddha image as a replacement.    




ตัวอย่างการบรรยายอย่างง่ายๆ
"ตอนนี้เราอยู่ที่วัดซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ Now we are in one of the most famous temples in Bangkok.   วัดนี้เรียกได้๓ชื่อ This temple can be called in 3 names.  ชื่อสามัญในภาษาไทยคือวัดโพThe common name in Thai is Wat Pho   ชื่อในทางท่องเที่ยวคือวัดพระนอน The name in tourism is The Temple of  The Reclining Buddha (หรือ The Lying Buddha)   และชื่อเป็นทางการคือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร  And the official name(หรือ formal name) is Wat Phrachetuphon Winmonmankhalaram Ratchaworamahawihan     เป็นวัดในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย   It is also a temple under the royal patronage. (หรือ Also,it is a temple under the royal patronage.)

จุดเด่นของวัดก็คือ   (๑) พระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย  (๒) แหล่งความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์  ศิลปะ  สถาปัตยกรรม  วรรณคดี  และการนวดไทย   The highlights of  the temple are (1)the big Buddha image that is regarded as one of the most beautiful reclining Buddha images in Thailand (2)the source of  knowledge about (หรือ regarding หรือ concerning) history , art , architecture , literature and Thai massage.

ประวัติโดยย่อของวัดก็คือว่า The  brief  story of  the temple is that:
ตามหลักฐานที่มีอยู่  สันนัษฐานว่าวัดนี้สร้างสมัยอยุธยาหลังรัชสมัยพระนารายณ์ซึ่งครองราชย์ช่วงปีค.ศ. ๑๖๕๗-๑๖๘๘According to the available evidence, it is assumed that the temple was built in Aytthaya period after the reign of  King Narai who ruled  during 1657-1688.    ดังนั้นวัดนี้จึงมีอายุไม่เกิน ๓๕๗ปี So the temple is not more than 357 years old.
อย่างไรก็ตาม  สิ่งก่อสร้างที่เห็นในปัจจุบันไม่ได้ย้อนหลังไปถึงสมัยนั้น   เพราะว่าถูกสร้างใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์หรือเมื่อกรุงเทพฯสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวง However,the buildings (หรือ edifices) that are seen at present do not date back to that time  because  they were rebuilt in Rattanakosis period or when  Bangkok was founded as a capital.
อ้อ! ชื่อเดิมของวัดนี้คือวัดโพธารามค่ะBy the way! the former name of the temple is Wat Photharam.
แต่ก่อนนี้  วัดนี้เป็นวัดเล็กๆ  ต่อมาเมื่อมีการสร้างใหม่  วัดนี้ก็ได้ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นตอนแรก
Formerly, this temple was a small one.  Later,when there was a reconstruction , it was  expanded to be bigger than what it was in the beginning .


และบริเวณที่เรายืนอยู่นี้คือด้านหน้าของวิหารพระนอนAnd the area  where  we are standing (หรือ And the area which we are standing at) is the front of  The Reclining Buddha image hall.
จริงๆแล้วพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นวังมาก่อน   หมายความว่าตอนแรกวัดนี้ไม่ได้มีพระนอนองค์ใหญ่องค์นี้เลย Actually , the area over here used to be a palace.   It means that firstly this temple didn't have the big reclining Buddha at all.   มันเคยเป็นวังมาในสมัยที่กรุงเทพฯเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ๆ It used to be a palace in the period when Bangkok had just been  established.  ต่อมาวังตรงนี้ก็ไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ประทับอยู่อีก(จริงๆแล้ว รัชกาลที่๓โปรดให้พระญาติที่เหลืออยู่ ณ วังนี้ ย้ายไปอยู่ที่วังอื่น)Later ,there was not any royal family member to go on  residing   ในรัชกาลที่๓ พระองค์จึงยกบริเวณวังให้แก่วัด  In the reign of  King Rama III ,the king had the palace compound granted to the temple.   และพระองค์ได้ทรงให้สร้างพระพุทธไสยาสน์องค์นี้ขึ้นมา   ส่วนอาคารหรือวิหารก็สร้างขึ้นทีหลังไม่นานจากพระนอน And he had the reclining Buddha built  whereas the building or the hall was built not long  later   after the image.

พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ๓ของไทย รองจากพระพุทธไสยาสน์ที่วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง และพระพุทธไสยาสน์ที่วัดพระนอนจักรสีห์ จ.สิงห์บุรี ตามลำดับ This Buddha image is the third biggest reclining Buddha image  of  Thailand  after the ones in Angthong  and Singburi  Provinces  respectively.

พระพุทธไสยาสน์ที่วัดโพนี้ ยาว ๔๖เมตร  สูง๑๕เมตรThe reclining Buddha  at this Wat Pho is 46 meters long  15 meters high.     ทำด้วยอิฐก่อปูน  ทาด้วยยางรัก และปิดด้วยแผ่นทองคำเปลว  It is made of bricks and stucco ,painted with lacquer and  covered with gold leaves.
องค์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ยาว ๔๗เมตร The second biggest is 47 meters long.   องค์ที่ใหญ่ที่สุดยาว๕๐เมตร    The biggest one is 50 meters long.
ค่ะ ถ้าคุณสังเกตุรอบๆนะคะ  คุณจะเห็นได้ว่าวัดนี้มีสถาปัตยกรรมทั้งไทยและจีนปนกัน  Well,if you notice around  you can see that   the temple  has  mixed  architecture with Thai and Chinese.  เพราะว่าในรัชกาลที่๓ พระองค์ให้สร้างและบูรณะวัดนี้เพิ่มเติมในแบบจีนซึ่งเป็นศิลปะที่โปรดปรานในพระองค์  Because in the reign of  King Rama III , the king had the temple additionally built and restored in the Chinese style that was his favorite art.                 หน้าบันของพระวิหารเป็นแบบลายดอกไม้ The gable of the hall is in floral design.   และโครงหลังคาก็เป็นแบบแนวความคิดเหมือนวัดอื่นๆ  And the roof structure is also in the same concept as that of  other temples   มีช่อฟ้าเป็นแบบศีรษะนกซึ่งแทนพญาครุฑ There is a sky-tassel in the form of  a bird  head that   represents Garuda,the mythical bird.     ส่วนปลายของขอบทางด้านล่างทั้ง๒ด้านซึ่งดูคล้ายศีรษะงู เรียกว่า หางหงส์  มันแทนศีรษะพญานาค The end of  the edge on both sides of the lower part that looks like snake head   is called Hanghong.    It  represents a head of  a mythical snake ,Naga.     แนวความคิดเกี่ยวกับสัญลักษณ์เหล่านี้มาจากความเชื่อในศาสนาฮินดูที่ปนอยู่ในศาสนาพุทธของคนไทย These concepts about the symbols come from the belief in Hinduism that is mixed in the Buddhism of  Thais (หรือ Thai people).

ตอนนี้เรากำลังจะเข้าไปชมพระนอนกันค่ะ  Now we are going to enter to see the Reclining Buddha. ก่อนอื่นเราจะต้องถอดรองเท้านะคะ First of all, we have to take shoes off.  นี่เป็นการแสดงความเคารพต่อศาสนสถาน This is to show respect to a sanctuary (หรือ This is a  worship to a  sanctuary. หรือ This is  a  respect showing to a sanctuary.)     เห็นไหมล่ะคะ?  ช่างเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่อะไรขนาดนี้  Can you see? What a big Buddha image it is!   ดูที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปสิคะ Please look at the face of the image.   เปลือกพระเนตรของพระพุทธรูปไม่ได้ปิดไปทั้งพระเนตรนะคะ  The  eyelids of the image are not entirely (หรือ totally) closed.  พระเนตรยังเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งค่ะ They are still half open. ฉะนั้นเราจะเรียกว่าพระพุทธรูปนอนหลับหรือปรินิพพานไม่ได้ So we cannot call it the sleeping  Buddha or  the Buddha passing away to Nirvana.    เราอาจจะเรียกว่าพระนอน We may call it the reclining Buddha.
พระพุทธรูปองค์นี้ดูเหมือนทองจริงThis Buddha image looks like the real gold one.    จริงๆแล้วทาด้วยยางรักและปิดทองคำเปลว  Actually (หรือ Really) it  is painted  with lacquer and  covered  with gold leaves   ดูสิคะ เห็นไหม? Please take a look.  Can you see?   แผ่นทองคำนับหมื่นที่เชื่อมต่อกันเพื่อปิดองค์พระไว้    A number of  thousands of  gold leaves that are connected together to cover the image.



ตอนนี้เรามาถึงส่วนที่สวยที่สุดส่วนหนึ่งขององค์พระ  Now we arrive at one of  the most beautiful  parts of the image.        นี่คือฝ่าเท้าของพระพุทธรูปค่ะThis is the sole of  the image.   ประดับด้วยมุก  It is decorated with mother-of-pearl  in lay    แสดงรูปเกี่ยวกับมงคล๑๐๘ประการที่มาจากความเชื่อในศาสนาและลัทธิ  ได้แก่ ศาสนาพุทธ  ฮินดู และฮวงจุ้ยของจีน It shows the pictures about  the 108 auspicious signs (หรือ 108 benedictory signs)  that are from the belief in religion and  doctrine ,namely  Buddhism,Hinduism and the Fen-shui of Chinese.   ตัวอย่างนะคะ   รูปนี้เป็นรูปพญามังกรตามความเชื่อของจีน   และรูปนี้เป็นรูปพญานาคตามความเชื่อในศาสนาพุทธและพราหมณ์  For example, this picture is the dragon one  according to the Chinese belief  and  this one is Naga,the mythical snake according to the belief  in Buddhism and Brahmanism.  และที่ด้านหลังขององค์พระ  มีบาตรจำนวน๑๐๘ใบวางเรียงกันอยู่ตามทางเดิน And at   the back of the image (หรือ the rear of the image) ,there are  108 alms-bowls  laid (หรือ which are laid) along   the walk way.    ใช้สำหรับรับเงินบริจาคเป็นเหรียญตามศรัทธาของผู้ชม They are used for receiving donation in the form of  coin  as complied with the visitors' faith.    บาตร๑๐๘ใบนี้จัดขึ้นให้เข้ากับความเชื่อเกี่ยวกับมงคล๑๐๘ประการนั่นเอง These 108 alms-bowls are provided to match (หรือ correspond) with the belief about the mentioned 108 auspicious signs.
ขั้นตอนการปฏิบัติคือ The procedure of the practice (หรือ the step of  the practice) is that:   เราจะใส่เงินบริจาคอย่างน้อย๒๐บาทไปในตู้รับบริจาค  We will put the donation at least 20 Baht into the donation box จากนั้นเราจะหยิบภาชนะที่บรรจุเหรียญที่จัดให้โดยทางวัดขึ้นมา๑ใบ  After that we will take a receptacle that contains the coins  provided by the temple.   แล้วเราก็จะใส่เหรียญลงไปเหรียญละใบไปจนใบสุดท้ายคือใบที่๑๐๘ Then we will put a  coin into each bowl  till we get to  the last one that is the 108th.                ปกติแล้วมีเหรียญเกิน  เพราะเขาไม่ได้นับ  เขาแค่ชั่งน่ะค่ะ Normally, there are  exceeding coins  because the don't count the coins.  They just weigh them.


                                                         The scripture hall  หอไตร
ปกติหอไตรไม่เปิดให้ประชาชนเข้าชม Regularly,this scripture hall is not open to the public   เปิดให้คนเข้าชมเป็นครั้งคราวเมื่อมีการอนุญาต It is open to the public at times when there is permission.    เก็บพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยซึ่งแปลมาจากฉบับเก่าที่ยืมมาจากลังกา (อัญเชิญกลับไปแล้ว) It keeps Tripitaka the scripture in Thai version  that is translated from the old one  borrowed from Sri Lanka.


                               Phra Phuttha Lokkanat   พระพุทธโลกนาถ
พระพุทธรูปองค์นี้นำมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังโบราณแห่งอยุธยา This Buddh image was brought from Wat Phrasrisanphet in the ancient palace of Ayutthaya    สูง๑๐เมตรทำด้วยสำริดปิดทอง It is 10 metres high ,made of gilt bronze (หรือ made of  bronze covered with gold plates)    เป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่รอดพ้นจากการทำลายในสงครามปีค.ศ.๑๗๖๗ระหว่างสยามกับพม่า It is a Buddha image that survived  destruction in  the 1767-war between Siam and Burma  ก่อนที่นำมากรุงเทพฯองค์พระเสียหายเป็นบางส่วนเนื่องจากไฟตอนที่พระราชวังถูกเผา Before it was brought to Bangkok ,the image was partly damaged  because of  the fire  at the time when the palace was burnt.
               
A stone statue in a mandarin look.  It is one of those used as ballasts in the junk from China to Siam. 



                                The stone statues which are said to represent Marco Polo

ตุ๊กตาจีน(หมายถึงหุ่น มิใช่ตุ๊กตาจริง) ที่เห็นกระจัดกระจายอยู่ตามบริเวณวัดก็มาจากเมืองจีนในสมัยก่อน  ประมาณ๑๖๐-๑๘๐ปีมาแล้ว  The Chinese stone statues which are seen scattered around the temple compound came from China in the old days  about 160-180 years ago.   ตอนแรกตุ๊กตาจีนพวกนี้ใช้เป็นอับเฉาของเรือสำเภาที่กลับ หลังจากไปค้าขายที่เมืองจีน At first, these statues were used as the junk ballasts (หรือship ballasts) that returned  after the trade in China.     ตอนที่เรือไปเมืองจีนนั้น มีสินค้ามากมาย At the time when they went to China ,there were many goods.    เมื่อถึงเมืองจีน สินค้าก็ขายหมด When they reached China, all goods were sold out.    ดังนั้นเรือจึงเบาลง Then the ships became lighter. พ่อค้าจึงนำตุ๊กตาหรือก้อนหินใหญ่ๆมาเป็นอับเฉาเพื่อถ่วงน้ำหนักเรือ The merchants(หรือ traders) brought the statues or  big stones to be ballasts to counterbalance the ships.      เมื่อมาถึงเมืองไทยหรือสยามตอนนั้น อับเฉาพวกนั้นก็ไม่จำเป็นอีก  When they arrived in Thailand or Siam then, these ballasts were not necessary (หรือ needed) any more. จึงถูกยกให้แก่สถานที่ต่างๆ เช่นวัดและวัง   และก็ดัดแปลงหรือประยุกต์เป็นของประดับในสถานที่ Then they were given (หรือ granted) to places such as temples and palaces  and  they were modified or applied as decorative items  in places.

หมายเหตุ ข้อเท็จจริงของอับเฉาหาได้เป็นอย่างที่พูดข้างต้นทั้งหมดไม่   เพราะหุ่นบางตัวถูกนำมาเป็นก้อนหินเปล่าๆก่อน  แล้วมาแกะสลักในเมืองไทยทีหลัง เพราะบางตัวไม่ได้ใช้เป็นอับเฉาจริง  เพียงแต่มีผู้สั่งมาด้วยวัตุประสงค์อื่นๆ  เช่น ใช้เป็นของประดับ



ตอนนี้เราได้มาถึงอีกพื้นที่หนึ่งของวัดแล้วค่ะ Now we have arrived at another area of the temple. มีเจดีย์มากมายกระจายอยู่ทั่วไปเลยค่ะ There are many stupas(  หรือchedis หรือ  pagodas)ตอนแรกเจดีย์พวกนี้ตั้งใจสร้างมาเพื่อบรรจุอัฐิหรืออังคารของคนชั้นสูงหรือพระบรมวงศานุวงศ์At first, these stupas were intended  to  contain the crematory ashes or  relics of  the high rank or  the royal family members.  แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างที่ตั้งใจไว้ But it was not practiced  as intended.    ปัจจุบันนี้ ทางวัดจึงอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้แทน  Nowadays, the temple allows the public to use instead.   เจดีย์บางองค์มีรูปถ่ายของบุุคคลแสดงอยู่ด้วย Some of the stupas have photographs of  the persons     บางองค์ก็มีแต่ชื่อเท่านั้น Some of  them have only  the persons' names.



ค่ะ  ส่วนเจดีย์องค์ใหญ่๔องค์ที่เห็นอยู่ทางโน้น สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นองค์แทนหรือเป็นเกียรติแก่กษัตริย์๔พระองค์แรกในราชวงศ์ปัจจุบัน  Well,the four big  stupas which are seen over there  are  built to be  representatives   or  to be in honor of  the first four kings in  the current dynasty.     เจดีย์๔องค์นี้เป็นแค่องค์แทนหรือการระลึกถึงพระมหากษัตริย์๔พระองค์เท่านั้น  The four stupas are only the representation  or commemoration to the four kings.   สูงประมาณ๔๑เมตร They are about 41 metes high.  ไม่ได้บรรจุอัฐิของกษัตริย์แต่อย่างใด They do not contain any relics of  king.    เจดีย์ทั้ง๔มีชื่อต่างๆกันไป  They have 4 different names.    องค์สีเขียวแทนรัชกาลที่๑ The green one represents King Rama I   เรียกขื่อว่า พระเจดีย์ศรีสรรเพชย์ดาญาณ It is named Srisanphet Chadayan    องค์สีเหลืองอ่อนแทนรัชกาลที่๒ The milder yellow one  represents King Rama II เรียกชื่อว่าพระเจดีย์ดิลกธรรมกลกนิทาน It is named Dilok Thammakaloknithan   องค์สีเหลืองเข้มแทนรัชกาลที่๓ The darker yellow one  represents King Rama III   เรียกชื่อว่าพระเจดีย์มุนีปััตบริขาร It is named Munipat Borikhan.   องค์สีน้ำเงินแทนรัชกาลที่๔ The blue one represents King Rama IV. เรียกชื่อว่า พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย  เพราะสร้างตามต้นแบบซึ่งเป็นเจดีย์ศรีสุริโยทัยในอยุธยา  It is named Srisuriyothai because  it is built  according to the master one (หรือ master medel หรือ original one) that is the stupa,Srisuriyothai in Ayutthaya.

องค์เจดีย์สีเขียวเป็นองค์ที่เก่าที่สุด The green stupa is  the oldest one. สร้างในปีค.ศ.1794 (พ.ศ.๒๓๓๗) It was built in 1794.  39ปีต่อมา รัชกาลที่3ให้สร้างอีก๒องค์  องค์หนี่งแทนพระราชบิดา และอีกองค์แทนพระองค์เอง  Thirty nine years later , King  Rama III had two more stupas built . One to represent his father and one to represent himself.  และ 20ปีต่อมา รัชกาลที่4ก็ให้สร้างองค์สีขาบ(สีน้ำเงิน)ขึ้นมา And 20 years later , King Rama IV had the blue one built. 

หมายเหตุ : 
(๑) ตามบันทึกที่มีอยู่  บอกว่าเจดีย์องค์สีเขียว(พระเจดีย์ศรีสรรเพชญฯ)ซึ่งแทนรัชกาลที่๑ สื่อให้ทราบว่า พระองค์ประสูติวันพุธ   ส่วนเจดีย์องค์สีเหลืองอ่อนและเหลืองเข้มนั้นแทนรัชกาลที่๒และ๓ เพื่อสื่อให้ทราบว่าทั้ง๒พระองค์ประสูติวันจันทร์   (ข้อมูลนี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ทางวัดจัดทำขึ้น)
(๒) พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี ระบุว่า รัชกาลที่ ๑ ประสูติ วันพุธ เดือน๔ แรม๕ค่ำ
(๓) เจดียฺ์องค์สีเขียว(พระเจดีย์ศรีสรรเพชญฯ) คงจะสร้างในเวลาไล่ๆกับการสร้างโบสถ์  ตามเอกสารระบุว่ามีการสร้างฐานเจดีย์ไว้ก่อนแล้วรัชกาลที่๑ เสด็จมาทำพิธีบรรจุซากพระพุทธรูปศรีสรรเพชญ์ประมาณ๒เดือนหลังจากเริ่มสร้างโบสถ์ ก็คือเสด็จมาทำพิธี ในวันที่ ๓๐  มกราคม พ.ศ.๒๓๓๗ (ค.ศ.1794)



In the main chapel (or the ordination hall) , there is the presiding  bronze Buddha image in the position of meditation. ในพระอุโบสถ มีพระประธานสำริดปางสมาธิ  It is a Buddha image in Ayutthaya period but transferred from  Wat Salasina or Wat Khuhasawan , the temple in Thonburi by King Rama I . เป็นพระพุธรูปสมัยอยุธยา แต่นำมาจากวัดศาลาสี่หน้า หรือวัดคูหาสวรรค์  ธนบุรี    The king had it kept  as the presiding Buddha of Wat Pho  due to his impression. พระองค์ให้มาไว้เป็นพระประธานของวัดโพเนื่องด้วยความประทับใจของพระองค์    He said that it was so beautiful as though it had been made by a deity. พระองค์ว่างามราวดั่งเทวดาสร้าง Then he had it named Phrphuttha Thewe Patimakorn meaning its being made by a deity. ดังนั้นพระองค์จึงให้ชื่อพระองค์นี้ว่า พระพุทธเทวปฏิมากร หมายถึง พระพุทธรูปที่เทวดาสร้าง    His crematory ashes were contained into the base of  the Buddha image later  by his grandson--King Rama IV.พระบรมสรีรางคารของพระองค์ได้นำเก็บไว้ที่ฐานพระพุทธรูปในเวลาต่อมา โดยพระราชนัดดา คือรัชกาลที่4





                                                     The preaching hall  or  the study hall


ยักษ์วัดโพอยู่ไหน?

คำถามนี้มีมี๒คำตอบ เนื่องจากเชื่อกันคนละอย่าง  มองคนละความหมาย ดังนี้
คำตอบที่ ๑ :  ยักษ์วัดโพคือยักษ์ในรูปแบบยักษ์จากเรื่องรามเกียรติ์  เป็นคำตอบจากพระที่วัด ทางวัดทำไว้เป็นยักษ์ขนาดเล็กกว่ายักษ์วัดแจ้งมาก  และเก็บไว้อย่างดีในตู้กระจกติดกำแพง  พระที่วัดบอกว่าแม้ว่าจะมีขนาดเล็กแต่มีฤทธิ์สามารถขยายขนาดตัวเองให้ใหญ่ขึ้นได้
คำตอบที่ ๒ : ยักษ์วัดโพคือยักษ์ในรูปแบบนักรบจีนที่มีขนาดใหญ่ มีอยู่ตามประตูไว้เป็นยามเฝ้าวัด  เป็นคำตอบที่ได้จากประชาชนทั่วไป  ทั้งมีการเติมแต่งเรื่องมาเป็นภาพยนตร์เป็นหลักฐานเรื่องความเชื่อของชาวบ้าน

                                  ยักษ์วัดโพในเวอร์ชั่นของพระ

                                      ยักษ์วัดโพในเวอร์ชั่นของประชาชน
     
                                                       ภาพยนตร์เก่าเรื่องการต่อสู้กันของยักษ์วัดโพกับยักษ์วัดแจ้ง
         


Latest updated  : 18th  Sep  2020




5 comments:

  1. ดีมากค่ะได้ใช้ในการออกทริปปี3

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณค่ะ

    ReplyDelete
  3. อยากได้คำบรรยายพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วค่ะ

    ReplyDelete
  4. มีประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณนะคะ

    ReplyDelete